|
วันนี้เราจะพาคุณแม่ไปทำความรู้จักกับข้อดีข้อเสียของการตรวจ NIPT เทียบกับการเจาะน้ำคร่ำ พร้อมทั้งอธิบายว่าทำไมการเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมจึงสำคัญ และทำให้คุณแม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย สำหรับคุณแม่ที่อยากรู้ว่า NIPT คืออะไรและช่วยให้คุณแม่เตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์อย่างไร เรามีคำตอบมาให้คุณแม่กันค่ะ
การตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) สามารถทำได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 10 ของการตั้งครรภ์ โดยใช้เพียงตัวอย่างเลือดของคุณแม่ ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกสบายมากกว่าการตรวจด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) ที่ต้องเจาะเข็มเข้าสู่มดลูก
ข้อดี
สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์: NIPT เป็นการตรวจทางพันธุกรรมที่ใช้ตัวอย่างเลือดของคุณแม่ ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 10 ของการตั้งครรภ์ ทำให้คุณแม่สามารถรู้ผลการตรวจได้เร็ว และไม่ต้องรอนานเหมือนกับการตรวจบางประเภทที่ต้องทำในช่วงไตรมาสท้ายของการตั้งครรภ์ การตรวจที่เร็วนี้ช่วยให้คุณแม่และครอบครัวมีเวลาในการตัดสินใจ และเตรียมตัวหากมีความเสี่ยงหรือความผิดปกติที่พบในการตรวจ
ไม่มีความเสี่ยงต่อทารก: เนื่องจากการตรวจ NIPT ใช้เพียงตัวอย่างเลือดจากคุณแม่ ไม่มีการเจาะเข้าสู่มดลูกหรือการสัมผัสกับทารกโดยตรง จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกได้รับอันตราย หรือเกิดความเสี่ยงในการแท้ง
ลดความกังวลใจ: การตรวจ NIPT ช่วยลดความกังวลใจได้มาก เพราะคุณแม่จะได้รับผลการตรวจที่มีความแม่นยำสูง (เช่น ความแม่นยำในการตรวจ Trisomy 21 หรือ Down Syndrome สูงถึง 99%) หากผลการตรวจออกมาว่าไม่มีความผิดปกติ ก็สามารถสบายใจได้มากขึ้นโดยไม่ต้องทำการตรวจเพิ่มเติม
ความแม่นยำสูง: NIPT มีความแม่นยำสูงในการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางโครโมโซมบางประเภท เช่น Trisomy 21 (Down syndrome), Trisomy 18, และ Trisomy 13 โดยจะตรวจหา DNA ของทารกที่อยู่ในเลือดของคุณแม่ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้มาก
ข้อจำกัด
ไม่สามารถยืนยันได้ 100%: แม้ว่า NIPT จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็ยังเป็นแค่การตรวจคัดกรอง (Screening) ซึ่งหากผลการตรวจเป็นบวก (positive) ก็ไม่ได้หมายความว่าทารกจะมีความผิดปกติจริงเสมอไป นั่นหมายความว่า หากผลออกมาบวก คุณแม่จะต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) หรือการทำ CVS (Chorionic Villus Sampling) เพื่อยืนยันผล
ไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครโมโซมได้: การตรวจ NIPT มุ่งเน้นไปที่การตรวจความผิดปกติของโครโมโซม เช่น Down syndrome, Trisomy 18, และ Trisomy 13 แต่ไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคทางพันธุกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวกับโครโมโซมเหล่านี้ได้
การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
ข้อดี
ความแม่นยำสูง: การตรวจน้ำคร่ำเป็นการตรวจวินิจฉัยที่สามารถใช้ในการยืนยันผลว่าทารกมีความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือไม่ เพราะเป็นการตรวจจากเซลล์ของทารกโดยตรง
สามารถตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมหลายประเภท: นอกจากความผิดปกติทางโครโมโซมแล้ว ยังสามารถตรวจหาความผิดปกติอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ความผิดปกติของโครงสร้างโครโมโซม เป็นต้น
ข้อจำกัด
ความเสี่ยงในการแท้ง: การเจาะน้ำคร่ำมีความเสี่ยงที่ประมาณ 0.1% ถึง 0.3% ต่อการแท้ง เนื่องจากเป็นการเจาะเข็มเข้าไปสู่ถุงน้ำคร่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการบาดเจ็บที่ทารก
ต้องทำในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์: การเจาะน้ำคร่ำมักจะทำได้หลังจากอายุครรภ์ 15 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งหมายความว่า การทำการตรวจจะช้าและคุณแม่อาจต้องรอผลนานกว่า NIPT
การตรวจ NIPT อย่าง Qualifi, Qualifi Premium 24, หรือ Clarifi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกสบายในการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมตั้งแต่ช่วงต้นของการตั้งครรภ์ โดยไม่มีความเสี่ยงต่อทารก ข้อดีของการตรวจ NIPT คือความแม่นยำสูงและสามารถลดความกังวลของคุณแม่ได้เมื่อผลออกมาปกติ แต่หากผลการตรวจพบความผิดปกติ คุณแม่ก็สามารถทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลได้โดยการเจาะน้ำคร่ำ หรือ CVS ในกรณีที่ต้องการการยืนยันผลตรวจนั่นเองค่ะ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
LINE ID: @nggthailand
โทร: 061-391-8999
Website: https://www.nggthailand.com
#NGGThailand #GenomeForHealthierLife #ตรวจดาวน์ซินโดรม #ตรวจดาวน์ #ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม #คัดกรองดาวน์ซินโดรม #ดาวน์ซินโดรม #เจาะเลือดตรวจดาวน์ซินโดรม #เจาะเลือดคัดกรองดาวน์ #ตรวจเลือดดาวน์ซินโดรม #ตรวจเลือดคัดกรองดาวน์ซินโดรม #ตรวจดาวน์ซินโดรมที่ไหนดี #ตรวจคัดกรองทารกในครรภ์ #ตรวจNIPT #NIPT #Qualifi #QualifiPremium24 #NGS #NextGenerationSequencing #ตรวจNGS